ทีมวิจัยที่นำโดย Sara Konrath แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้ติดตามข้อมูลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 10,317 คนในรัฐ Wisconsin ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1957 ถึง 2008 กลุ่มตัวอย่างมีทั้งชายและหญิงอย่างละประมาณครึ่งต่อครึ่ง รายละเอียดของข้อมูลที่ติดตาม ได้แก่ ข้อมูลทางด้านสุขภาพ ความถี่ในการอาสาช่วยงานสาธารณะ เหตุผลในการออกช่วยงาน การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า ฯลฯ ผลปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่างโดยรวมมีอายุเฉลี่ย 69 ปี กลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยอาสาช่วยงานสาธารณะเลยในช่วงเวลา 10 ปีหลังมีอัตราการตาย 4.3% ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ชอบอาสาบำเพ็ญประโยชน์โดยคิดถึงส่วนรวมเป็นสำคัญมีอัตราการตายเพียงแค่ 1.6% และเมื่อตัดปัจจัยด้านสุขภาพอื่นๆ ออกไป อัตราการตายของทั้งสองกลุ่มก็ยังแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญอยู่ดี
ที่น่าประหลาดใจ คือ กลุ่มตัวอย่างที่ออกไปทำงานอาสาแต่ทำไปด้วยเหตุผลส่วนตัว (เช่น เห็นว่ามันทำให้ตัวเองรู้สึกดี, หรือทำไปเพราะอยากหลีกหนีปัญหาของตัวเอง) มีอัตราการตาย 4% ซึ่งแทบจะไม่ต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้ทำงานอาสาเลย
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ผลประโยชน์ที่ได้รับ (ในที่นี้คืออัตราการตายที่ลดลง) จากพฤติกรรมเสียสละ (altruism) น่าจะเป็นสิ่งที่ชดเชยให้กับมนุษย์ที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นซึ่งต้องเสียผลประโยชน์ส่วนตัวไปในตอนต้น (ต้นทุนทางด้านเวลาและแรงงาน) หรือพูดในเชิงวิวัฒนาการ ผลประโยชน์นี้ช่วยรักษาสมดุลให้ลักษณะพฤติกรรมเสียสละ (altruism) ยังคงอยู่ในประชากรได้
นอกจากนี้ยังเคยมีงานวิจัยเมื่อปี 2008 แสดงให้เห็นว่า มนุษย์โดยเฉพาะผู้หญิงให้คะแนนพฤติกรรมเสียสละว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเลือกคู่ครอง สรุป คือ ใครอยากมีอายุยืนๆ มีแฟนเยอะๆ ให้รีบเสียสละออกไปบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมให้มากๆ (เอ๋! แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า เห็นแก่ตัว หรือ เสียสละแบบมีจุดประสงค์ ดีหละ?)ที่มา - Live Science
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น